จนท.เก็บตัวอย่างน้ำ-ดินตรวจสอบ-หลังนกเป็ดแดงกินสารเคมีในทุ่งนาตายเกลื่อน-หวั่นกระทบระบบนิเวศน์

สืบเนื่องจากพบนกเป็ดแดงซึ่งเป็นนกตระกูลเดียวกับนกเป็ดน้ำ สัตว์สงวนคุ้มครอง หนีหนาวจากซีกโลกเหนืออพยพมาที่จังหวัดลำปาง แต่กลับพบส่าตายเกลื่อน เกือบ 100 ตัว บริเวณทุ่งนา หลังหมู่บ้านคันทรีวิว  ต.ปงแสนทอง อ.เมือง จ.ลำปาง เมื่อเย็นวันที่ 5 ก.พ. และ วานนี้ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพร้อมเก็บซากนกทั้งหมดนำฝังดินและนำซากนกที่ยังสมบูรณ์ ไปผ่าตรวจทางห้องปฎิบัติการเพื่อตรวจหาสาเหตุการตาย

หลังจากมีการนำเสนอข่าว ได้มีชายคนที่ทำนาแปลงที่พบซากเป็ดแดงตาย ได้เข้ามาแสดงตน เพื่อพบเจ้าหน้าที่แล้ว และให้การว่า ได้มาเช่าที่นาดังกล่าว เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ขณะนี้อยู่ในช่วงหว่านเมล็ดพันธ์ข้าวลงไป ประกอบกับตนเองเห็นว่า น้ำในแปลงนาได้แห้งลง และเกรงว่าหญ้าจะขึ้น จึงได้ไปซื้อยาฆ่าหญ้า ชนิดคุมเลน ชนิดเม็ดมาใช้ผสมน้ำ แล้วจ้างให้คนนำมารดบนแปลงนาดังกล่าว กระทั่งทราบข่าวว่า มีนกมากินจนตายเกลื่อนบนที่นาของตนเอง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 สาขาลำปาง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เขลางค์นคร แล้ว

ความคืบวันนี้ (7 ก.พ.64) นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด โดยนายอำนวย ศรีแสงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง พร้อมด้วย นางสาวรตนพร กิติกาศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำปาง  นายระพีศักดิ์ มาลัยรุ่งสกุล ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 2 ลําปาง ตลอดจนเจ้าหน้าที่วิชาการ และปฎิบัติการ ด้านสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่ทุ่งนาจุดเกิดเหตุ เพื่อเก็บตัวอย่างดิน และน้ำ บริเวณทุ่งนา รวมถึงสำรวจพื้นที่ทั้งแปลงนาจุดเกิดเหตุ และโดยรอบทั้งหมด เพื่อนำข้อมูล และตัวอย่างที่ได้ส่งตรวจทางห้องปฎิบัติการ

นายอำนวย ศรีแสงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า วันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มาเก็บตัวอย่าง เพื่อจะนำไปตรวจทางห้องปฎิบัติการ เพื่อหาสารเคมีในแปลงนา ซึ่งคาดว่า สิ่งที่ทำให้นกเป็ดแดงตายน่าจะเป็นสารเคมี จึงต้องเก็บตัวอย่างไปตรวจ เพื่อหาสาเหตุว่าเป็นสารเคมีชนิดใดกันแน่

ทางด้านนางสาวรตนพร กิติกาศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำปาง ได้กล่าวเพิ่มเติม ว่าผู้ปลูกนาแปลงนี้ ได้ปลูกข้าวนาปรัง และใช้น้ำจากบาดาลสูบใส่ที่นา รวมถึงน้ำจากลำเหมืองใกล้ๆ และจากการสอบสวนพบว่าหลังจากหว่านเมล็ดข้าวลงไปแล้ว และต้นข้าวได้โผล่ยอดขึ้นมา เจ้าของนาก็ได้ฉีดพ่นสารเคมี เพื่อหวังกำจัดเพลี้ย และหนอน ซึ่งกรณีดังกล่าวจะได้ตรวจสอบว่าซื้อสารเคมีมาจากแหล่งไหน และถูกต้องหรือไม่

“สารเคมีชนิดดังกล่าว หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะไม่เป็นอันตราย แต่หากใช้มาก ก็จะเป็นอันตรายต่อพื้นที่ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้ เมื่อฉีดพ่นลงไปในแปลงนาแล้ว ในห้วง 7 วัน ที่ฉีดลงไปถือว่าอันตรายต่อสัตว์ และคนอย่างมาก ฉะนั้น อาจะมีความเป็นไปได้ ว่านกเป็ดแดง อาจจะบินลงมากินเมล็ดข้าวหรือยอดข้าวในช่วงหลังฉีดพ่น จึงทำให้ตายทั้งหมด ซึ่งตัวอย่างที่ส่งไปตรวจทางห้องปฎิบัติการ ผลก็จะออกในอีก 2 วัน ก็จะได้รู้ว่าผลออกมาเป็นสารเคมีชนิดไหน”

เกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำปาง ยังเตือนว่า ที่ผ่านมา ได้เตือนให้เกษตรกรทุกพื้นที่ ทราบถึงผลกระทบต่อการใช้สารเคมีทุกชนิด เพราะถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก สำหรับเกษตรกรรายนี้ คำนึงถึงเชิงธุรกิจมากเกินไป  และเกษตรกรรายนี้ ถือว่า ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกร ปลูกข้าวกับทางสำนักงานเกษตรไว้แล้ว ซึ่งก็จะได้มีการกวดขันให้เกษตรกรรายนี้ได้คำนึงถึงพิษภัย และให้งดการใช้สารเคมีชนิดรุนแรงนี้ต่อไป

นายระพีศักดิ์ มาลัยรุ่งสกุล ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 2 ลําปาง เปิดเผยว่า วันนี้เราเก็บตัวอย่างดิน และแหล่งน้ำโดยรอบไปตรวจ เพื่อดูว่า มีสารเคมีอยู่บริเวณนี้ชนิดใดบ้าง เพื่อจะได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า สารเคมีชนิดต่างๆ จะไม่กระทบต่อระบบนิเวศ หรือแหล่งน้ำโดยรอบเพื่อความปลอดภัย